บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME จับมือร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ. เปิดตัว บริษัท ไพร์ม อินดัสเทรียลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด หรือ PIE อย่างเป็นทางการ เดินหน้าสู่การพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน
คุณสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ให้สัมภาษณ์กับ Answer News Industrial Magazine เกี่ยวกับการร่วมลงทุนกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจกับบริษัทที่อยู่ภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม ตามนโยบาย Net Zero greenhouse gas emission ในปี 2608
ส่วนโอกาสในเขตนิคมอุตสาหกรรมของ PRIME เราแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ธุรกิจ คือ 1.Renewable energy (RE) โดย PRIME จะเข้าไปลงทุน และก่อสร้างหลังคาโซลาร์ 2.Energy Efficiency (EE) PRIME ลงทุนในเรื่องของการประหยัดพลังงาน 3.energy investment
ทั้งนี้ จากแผนการดำเนินงานที่สอดประสานไปกับนโยบาย และการผนึกพลังของบุคลากรที่มีศักยภาพสูง ทำให้เรามั่นใจว่า PIE สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ด้วยบริการและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ ผลิตภัณฑ์การใช้พลังงานหมุนเวียนด้วยโซลูชันการลดก๊าซเรือนกระจก ผลิตภัณฑ์การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และยังมีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เข้าถึงทุกสถานการณ์ธุรกิจ ทั้งการติดตั้งและบำรุงรักษา รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือในการจดทะเบียนคาร์บอนเครดิต การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยวางระบบบริหารการจัดการพลังงาน ระบบจดทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร เพื่อสนับสนุน ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในเขตนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม
PIE วางเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ด้วยความพร้อมด้านนวัตกรรมที่ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่าง ปี 2564-2573 (Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030) ซึ่งในปี 2568 ตั้งเป้าลดปริมาณ ร้อยละ 10 ปี 2570 ตั้งเป้าลดปริมาณ ร้อยละ 20 และในปี 2573 ร้อยละ 25 โดยร่วมผลักดันการใช้พลังงานทดเเทนและการอนุรักษ์พลังงาน จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมายาวนาน เรามั่นใจว่า จะสามารถตอบสนองนโยบายอันสำคัญยิ่งนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
คุณสมประสงค์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของ PIE ว่า เราจะก้าวสู่การเป็นผู้นําธุรกิจด้านพลังงานแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One stop service provider) ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยการใช้องค์ความรู้ความชํานาญในธุรกิจพลังงาน เพื่อนําไปสู่เป้าหมายในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ควบคู่สนับสนุนนโยบายภาครัฐเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และดำเนินธุรกิจบนความต้องการของคู่ค้าหลัก และผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส
อีกทั้ง วางแผนกลยุทธ์ในเชิงริเริ่มสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ ทางด้านธุรกิจ การเงิน คุณภาพการบริการ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ชุมชน และหลักธรรมาภิบาล เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับพันธมิตรทางธุรกิจตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ต่อยอดสู่การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความชํานาญ ควบคู่ไปกับสังคม และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากโครงการจัดตั้งบริษัท ไพร์ม อินดัสเทรียลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด แล้ว PRIME ยังวางเป้าหมายในช่วงปี 2567 ซึ่งจะมีการลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาดอื่นๆ ทั่วเอเชีย ไม่น้อยกว่า 800 เมกะวัตต์หรือมีกำลังการผลิตเติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าจาก ณ ปัจจุบัน และเป้าหมายระยะยาว 5 ปีข้างหน้า 1,800 เมกะวัตต์ หรือการเติบโตราว 6 เท่า จากกำลังการผลิตปัจจุบัน โดยแต่ละปีคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกราว 200-400 เมกะวัตต์
การดำเนินการเพื่อบรรลุตามแผนงานระยะสั้น ประกอบด้วย การลงนามสัญญากับ Taiwan Power Company ที่ไต้หวัน ทำให้ PRIME สามารถขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตรงกับภาคเอกชน (Corporate PPA) ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะได้รับรายได้มากกว่า รายได้จะโตขึ้นร้อยละ 20-30 โดย PRIME กำลังเจรจากับลูกค้า CorporatePPA ที่มีศักยภาพในไต้หวัน รวมถึงการลงทุน 2 โครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในไต้หวัน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินอยู่ในเขตเหมียวลี่ ทางตอนเหนือของไต้หวันกำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ ดำเนินการในเฟส 1 ทาง PRIME ได้ทำสัญญาเช่ามีที่ดิน 86 เฮกตาร์ อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจัดตั้ง (Establishment license) จะก่อสร้างเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 2568 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Budai Outdoor Fishfarm ที่เป็นโรงไฟฟ้าบนบ่อเลี้ยงปลาในเมืองเจียอี้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวัน ขนาด 99 เมกะวัตต์ ณ ปัจจุบันทางบริษัทฯ ได้รับสิทธิการใช้ที่ดินมาเป็นจำนวนกว่า 100 เฮกตาร์เรียบร้อยแล้ว จะก่อสร้างเสร็จภายในไตรมาส 2 ของปี 2569
คุณสมประสงค์กล่าวต่อว่า ในปี 2566 PRIME ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 15 รายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่น่าลงทุนในกลุ่ม ESG Emerging ปี 2566 ซึ่งได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นครั้งแรก ของสถาบันไทยพัฒน์และการที่ PRIME ได้รับคัดเลือกอยู่ในกลุ่ม ESG Emergingเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ PRIME ในการทุ่มเทความพยายามในการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสีย ที่พิจารณาลงทุนตามวิถีการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) โดยเน้นปัจจัยด้านมิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติสังคม (Social) และมิติธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG มาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุน และ PRIME เป็นส่วนหนึ่งในการลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และลดภาวะโลกร้อน (Global Warming) สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ส่งต่อสังคมสีเขียวสู่คนรุ่นหลังต่อไป
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ เนื้อหาสาระดีจังเลย